เทรนด์วัสดุบรรจุภัณฑ์ นวัตกรรม ความยั่งยืน และการเลือกใช้ที่เหมาะสม

เทรนด์วัสดุบรรจุภัณฑ์ นวัตกรรม ความยั่งยืน และการเลือกใช้ที่เหมาะสม

เทรนด์วัสดุบรรจุภัณฑ์เปลี่ยนโลก! รู้จักวัสดุแห่งอนาคตที่ธุรกิจต้องจับตามอง พร้อมเคล็ดลับเลือกใช้ให้โดนใจลูกค้าและรักษ์โลก

วัสดุบรรจุภัณฑ์มีบทบาทสำคัญต่อสินค้าและธุรกิจในหลายด้าน ได้แก่ การปกป้องสินค้าจากความเสียหาย การยืดอายุการเก็บรักษา การสื่อสารข้อมูลสินค้า การสร้างแบรนด์ และการดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์กำลังเผชิญกับความท้าทายในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เทรนด์สำคัญที่กำลังมาแรงคือการใช้วัสดุที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเลือกใช้วัสดุของธุรกิจต่างๆ บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่น่าสนใจ พร้อมทั้งแนวโน้มและอนาคตของวัสดุบรรจุภัณฑ์

วัสดุบรรจุภัณฑ์ชีวภาพ (Bioplastics)

พลาสติกชีวภาพ หรือ ไบโอพลาสติก (Bioplastics) ผลิตจากทรัพยากรหมุนเวียน เช่น พืช (เช่น ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง) หรือจุลินทรีย์ ซึ่งแตกต่างจากพลาสติกทั่วไปที่ผลิตจากปิโตรเลียม ไบโอพลาสติกมีหลากหลายประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน

1. ประเภทของพลาสติกชีวภาพ

  • PLA (Polylactic Acid หรือ กรดพอลิแล็กติก) : ผลิตจากแป้งข้าวโพด อ้อย หรือมันสำปะหลัง มีคุณสมบัติใสคล้ายพลาสติกทั่วไป นิยมใช้ในบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เช่น ขวดน้ำ ถ้วย ช้อนส้อม ฟิล์มสำหรับห่ออาหาร และถุงพลาสติก PLA สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพภายใต้สภาวะการหมักปุ๋ยที่เหมาะสม (Industrial composting)
  • PHA (Polyhydroxyalkanoates หรือ พอลิไฮดรอกซีอัลคาโนเอต) : ผลิตจากจุลินทรีย์ที่กินน้ำตาลหรือไขมัน มีคุณสมบัติคล้ายพลาสติกทั่วไป บางชนิดสามารถย่อยสลายได้ในดินและน้ำทะเล มีการใช้งานที่หลากหลาย เช่น บรรจุภัณฑ์ ฟิล์มทางการเกษตร และอุปกรณ์ทางการแพทย์
  • Cellulose-based plastics (พลาสติกจากเซลลูโลส) : ผลิตจากเซลลูโลสจากพืช เช่น ไม้ ฝ้าย หรือเยื่อกระดาษ มีหลายรูปแบบ เช่น เซลลูโลสแอซิเตท (Cellulose Acetate) ที่ใช้ทำฟิล์มและเส้นใย และเซลลูโลสรีเจนเนอเรท (Regenerated Cellulose) เช่น เซลลูโลสแผ่น (Cellophane) ที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์
  • Bio-based PE/PP/PET (พอลิเอทิลีน/พอลิโพรพิลีน/พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลตชีวภาพ) : ผลิตจากเอทานอลที่ได้จากอ้อยหรือพืชอื่นๆ มีคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพเหมือนกับพลาสติกทั่วไปที่ผลิตจากปิโตรเลียม สามารถนำไปรีไซเคิลได้ในระบบรีไซเคิลพลาสติกทั่วไป
  • Starch-based plastics (พลาสติกจากแป้ง) : ผลิตจากแป้ง เช่น แป้งข้าวโพด แป้งมันสำปะหลัง หรือแป้งมันฝรั่ง มักนำมาผสมกับพลาสติกชีวภาพอื่นๆ เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติ เช่น ความยืดหยุ่นและความแข็งแรง

2. ข้อดีของพลาสติกชีวภาพ

  • ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Biodegradable) : ไบโอพลาสติกหลายชนิดสามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพภายใต้สภาวะที่เหมาะสม เช่น การหมักปุ๋ย (Composting) ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม
  • ผลิตจากทรัพยากรหมุนเวียน (Renewable resources) : ผลิตจากพืชหรือจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สามารถปลูกทดแทนได้ ลดการพึ่งพาทรัพยากรปิโตรเลียม
  • ลดการใช้น้ำมัน (Reduced dependence on fossil fuels) : การผลิตไบโอพลาสติกลดการใช้น้ำมันดิบ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ไม่หมุนเวียนและก่อให้เกิดมลพิษ
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Lower greenhouse gas emissions) : การผลิตไบโอพลาสติกบางชนิดมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าการผลิตพลาสติกทั่วไป

3. ข้อเสียและข้อจำกัดของพลาสติกชีวภาพ

  • ราคาสูงกว่าพลาสติกทั่วไป : ต้นทุนการผลิตไบโอพลาสติกส่วนใหญ่มักจะสูงกว่าพลาสติกที่ผลิตจากปิโตรเลียม
  • คุณสมบัติบางประการอาจไม่เทียบเท่าพลาสติกทั่วไป : ไบโอพลาสติกบางชนิดอาจมีคุณสมบัติทางกายภาพ เช่น ความแข็งแรง ความทนทานต่อความร้อน หรือความทนทานต่อความชื้น ที่ด้อยกว่าพลาสติกทั่วไป
  • เงื่อนไขการย่อยสลาย : การย่อยสลายของไบโอพลาสติกบางชนิด เช่น PLA ต้องใช้สภาวะการหมักปุ๋ยที่เฉพาะเจาะจง (Industrial composting) ซึ่งแตกต่างจากการหมักปุ๋ยในครัวเรือน (Home composting) ทำให้การย่อยสลายในสภาพแวดล้อมทั่วไปทำได้ยาก
  • ความสับสนในการจัดการขยะ : ผู้บริโภคอาจสับสนระหว่างไบโอพลาสติกกับพลาสติกทั่วไป ทำให้เกิดปัญหาในการคัดแยกขยะและการรีไซเคิล

4. ตัวอย่างการใช้งานพลาสติกชีวภาพในอุตสาหกรรมต่างๆ

  • บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม : ขวดน้ำ ถ้วย ช้อนส้อม ถาดอาหาร ฟิล์มสำหรับห่ออาหาร ถุงพลาสติก
  • บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง : ขวด โหล และหลอดบรรจุเครื่องสำอาง
  • บรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค : ถุงช้อปปิ้ง ถุงขยะ
  • การเกษตร : ฟิล์มคลุมดิน กระถางต้นไม้
  • สิ่งทอ : เส้นใยสำหรับเสื้อผ้าและสิ่งทออื่นๆ
  • การแพทย์ : อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ไหมเย็บแผล และวัสดุปลูกถ่าย

5. ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุบรรจุภัณฑ์ชีวภาพ

  • NatureWorks : ผู้ผลิต PLA รายใหญ่ที่สุด
  • Total Corbion PLA : บริษัทร่วมทุนระหว่าง TotalEnergies และ Corbion ผลิต PLA ภายใต้แบรนด์ Luminy
  • Braskem : ผู้ผลิต Bio-based PE
  • Novamont : ผู้ผลิต Mater-Bi ซึ่งเป็นพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพรวมของ เทรนด์ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ รวมถึงด้านอื่นๆ เช่น เทคโนโลยีการพิมพ์และดีไซน์ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่

วัสดุรีไซเคิลและรีไซเคิลได้ (Recycled and Recyclable Materials)

วัสดุรีไซเคิลคือวัสดุที่ผ่านกระบวนการแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น กระดาษรีไซเคิล พลาสติกรีไซเคิล และแก้วรีไซเคิล ส่วนวัสดุรีไซเคิลได้คือวัสดุที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ แต่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการนั้น ความแตกต่างนี้สำคัญ เนื่องจากวัสดุรีไซเคิลได้บางชนิดอาจไม่ถูกรีไซเคิลจริงในทางปฏิบัติเนื่องจากข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ

1. ประเภทของวัสดุรีไซเคิลที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์

  • กระดาษรีไซเคิล : ผลิตจากเศษกระดาษใช้แล้ว มีหลายเกรดขึ้นอยู่กับคุณภาพของเส้นใย นำมาใช้ทำกล่องกระดาษ ถุงกระดาษ กระดาษห่อ และแกนกระดาษ
    • ตัวอย่าง : กล่องกระดาษลูกฟูกที่ใช้สำหรับบรรจุสินค้าทั่วไป มักทำจากกระดาษรีไซเคิล
  • พลาสติกรีไซเคิล : นำพลาสติกใช้แล้วมาแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติกใหม่ มีหลายประเภท เช่น
    • PET (Polyethylene Terephthalate) : รีไซเคิลเป็นขวดน้ำ ขวดเครื่องดื่ม และเส้นใยสำหรับทำเสื้อผ้า
    • HDPE (High-Density Polyethylene) : รีไซเคิลเป็นขวดนม ขวดผงซักฟอก และถุงพลาสติก
    • PP (Polypropylene) : รีไซเคิลเป็นฝาขวด กล่องอาหาร และเฟอร์นิเจอร์
    • ข้อควรระวัง : พลาสติกบางชนิด เช่น PVC (Polyvinyl Chloride) และพลาสติกผสมหลายชนิด รีไซเคิลได้ยากหรือไม่มีระบบรองรับการรีไซเคิลในบางพื้นที่
  • แก้วรีไซเคิล : นำเศษแก้วมาหลอมใหม่เพื่อผลิตขวดแก้วและภาชนะแก้วอื่นๆ การรีไซเคิลแก้วช่วยลดการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ
    • ตัวอย่าง : ขวดเบียร์ ขวดไวน์ และขวดเครื่องดื่มอื่นๆ มักทำจากแก้วรีไซเคิล

2. กระบวนการรีไซเคิลและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง

กระบวนการรีไซเคิลวัสดุแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปประกอบด้วยขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

  • การเก็บรวบรวม : การแยกขยะต้นทางมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพการรีไซเคิล
  • การคัดแยก : คัดแยกวัสดุตามประเภทและคุณภาพ
  • การทำความสะอาด : ล้างทำความสะอาดเพื่อกำจัดสิ่งปนเปื้อน
  • การแปรรูป : บด ย่อย หรือหลอมวัสดุเพื่อนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่
  • เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
    • Mechanical Recycling : การรีไซเคิลเชิงกล เป็นกระบวนการทั่วไปที่ใช้ในการรีไซเคิลพลาสติกและกระดาษ
    • Chemical Recycling : การรีไซเคิลเชิงเคมี เป็นกระบวนการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการสลายพลาสติกให้เป็นโมเลกุลพื้นฐานเพื่อนำไปผลิตพลาสติกใหม่ มีข้อดีคือสามารถรีไซเคิลพลาสติกที่ปนเปื้อนได้

3. ข้อดีและข้อเสียของวัสดุรีไซเคิล

ข้อดี

  • ลดปริมาณขยะ : ช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปกำจัด
  • ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ : ลดการใช้ทรัพยากรใหม่ เช่น ต้นไม้ น้ำ และน้ำมัน
  • ลดการใช้พลังงาน : การรีไซเคิลมักใช้พลังงานน้อยกว่าการผลิตจากวัตถุดิบใหม่
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก : ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกระบวนการผลิต

ข้อเสีย

  • คุณภาพอาจแตกต่างกันไป : คุณภาพของวัสดุรีไซเคิลอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับกระบวนการรีไซเคิลและคุณภาพของวัสดุต้นทาง
  • ความสะอาดและความปลอดภัย : ต้องคำนึงถึงความสะอาดและความปลอดภัยของวัสดุรีไซเคิล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรจุภัณฑ์อาหาร
  • ข้อจำกัดในการรีไซเคิล : วัสดุบางชนิดรีไซเคิลได้ยาก หรือไม่สามารถรีไซเคิลได้หลายครั้ง

4. ตัวอย่างการใช้งานและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง

  • ตัวอย่างการใช้งาน : กล่องกระดาษลูกฟูกสำหรับบรรจุสินค้า ขวดพลาสติก PET รีไซเคิลสำหรับบรรจุน้ำดื่ม และขวดแก้วรีไซเคิลสำหรับบรรจุเครื่องดื่ม
  • มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
    • ISO 14021 : มาตรฐานเกี่ยวกับการติดฉลากสิ่งแวดล้อม ประเภท II (self-declared environmental claims) ซึ่งรวมถึงการระบุปริมาณวัสดุรีไซเคิลในผลิตภัณฑ์
    • Recycling Symbols : สัญลักษณ์ต่างๆ ที่ใช้แสดงประเภทของพลาสติกและบ่งบอกว่าสามารถรีไซเคิลได้หรือไม่ เช่น สัญลักษณ์รีไซเคิล (Mobius loop) และรหัสพลาสติก (Resin Identification Code)

5. แหล่งรับซื้อและจำหน่ายวัสดุรีไซเคิล

  • โรงงานรีไซเคิล : เป็นแหล่งรับซื้อวัสดุรีไซเคิลโดยตรง
  • ร้านรับซื้อของเก่า : รับซื้อวัสดุรีไซเคิลจากครัวเรือนและธุรกิจ
  • แพลตฟอร์มออนไลน์ : มีแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เชื่อมโยงผู้ขายและผู้ซื้อวัสดุรีไซเคิล

วัสดุจากธรรมชาติ (Natural Materials)

วัสดุจากธรรมชาติกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ เนื่องจากคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ วัสดุเหล่านี้มักมาจากแหล่งทรัพยากรหมุนเวียนและช่วยลดการพึ่งพาทรัพยากรฟอสซิล

1. วัสดุจากพืช : นวัตกรรมจากผลผลิตทางการเกษตร

วัสดุจากพืชหลากหลายชนิดถูกนำมาพัฒนาเป็นบรรจุภัณฑ์

  • เส้นใยอ้อย (Bagasse) : เป็นวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิตน้ำตาล นำมาขึ้นรูปเป็นบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เช่น ถาดอาหาร กล่องอาหาร และภาชนะต่างๆ มีคุณสมบัติที่แข็งแรงพอสมควรและสามารถย่อยสลายได้
    • ตัวอย่างการใช้งาน : ถาดใส่อาหารเดลิเวอรี่ ถ้วยกาแฟ และภาชนะสำหรับใส่อาหารในงานเลี้ยง
  • ฟางข้าว (Rice Straw) : วัสดุเหลือใช้จากการเก็บเกี่ยวข้าว สามารถนำมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์แทนโฟม เช่น ถาดรองสินค้า และวัสดุกันกระแทก มีน้ำหนักเบาและย่อยสลายได้
    • ตัวอย่างการใช้งาน : บรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า บรรจุภัณฑ์สำหรับผลไม้ และวัสดุกันกระแทกในกล่องพัสดุ
  • เส้นใยปาล์ม (Palm Fiber) : ได้จากทะลายปาล์มที่เหลือจากการสกัดน้ำมันปาล์ม นำมาขึ้นรูปเป็นบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เช่น จาน ชาม และถ้วย มีความแข็งแรงและทนความร้อนได้ดี
    • ตัวอย่างการใช้งาน : บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารร้อนและเย็น บรรจุภัณฑ์สำหรับงานเลี้ยง และบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าเกษตร
  • เยื่อไผ่ (Bamboo Pulp) : เป็นวัสดุที่มีความแข็งแรง น้ำหนักเบา และเติบโตได้รวดเร็ว นำมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์กระดาษและขึ้นรูป
    • ตัวอย่างการใช้งาน : กล่องกระดาษ ถุงกระดาษ และบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค

2. วัสดุจากเห็ด : นวัตกรรมจากธรรมชาติ

  • Mycelium : คือเส้นใยของเห็ดรา นำมาเพาะเลี้ยงในแม่พิมพ์เพื่อให้ได้รูปทรงต่างๆ เช่น บรรจุภัณฑ์กันกระแทก วัสดุกันความร้อน และฉนวนกันเสียง มีคุณสมบัติที่แข็งแรง น้ำหนักเบา และย่อยสลายได้
    • กระบวนการผลิต : นำ Mycelium มาผสมกับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว หรือขี้เลื่อย แล้วนำไปเพาะเลี้ยงในแม่พิมพ์ เมื่อ Mycelium เติบโตเต็มที่ก็จะยึดเกาะวัสดุเข้าด้วยกันเป็นรูปทรงที่ต้องการ
    • ตัวอย่างการใช้งาน : บรรจุภัณฑ์สำหรับเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าที่ต้องการการปกป้องเป็นพิเศษ

3. ข้อดีของวัสดุจากธรรมชาติ

  • ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ : ลดปริมาณขยะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม : ผลิตจากทรัพยากรหมุนเวียน ลดการพึ่งพาทรัพยากรฟอสซิล
  • สร้างมูลค่าเพิ่มให้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร : ช่วยลดปริมาณของเสียทางการเกษตรและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก : กระบวนการผลิตใช้พลังงานน้อยกว่าการผลิตพลาสติก

4. ข้อเสียและข้อจำกัด

  • ความแข็งแรงและความทนทาน : อาจน้อยกว่าพลาสติกหรือวัสดุสังเคราะห์บางชนิด ทำให้เหมาะกับการใช้งานบางประเภท
  • ความทนต่อความชื้นและอุณหภูมิ : วัสดุบางชนิดอาจไม่ทนต่อความชื้นหรืออุณหภูมิสูง ทำให้มีข้อจำกัดในการใช้งาน
  • การผลิตในเชิงพาณิชย์ : การผลิตในปริมาณมากอาจยังไม่แพร่หลาย ทำให้ต้นทุนการผลิตยังสูงอยู่
  • การรับรองมาตรฐาน : มาตรฐานและการรับรองเกี่ยวกับวัสดุจากธรรมชาติยังอยู่ในช่วงพัฒนา

5. ตัวอย่างการใช้งานและนวัตกรรมใหม่ๆ

  • บรรจุภัณฑ์อาหาร : ถาดอาหาร กล่องอาหาร ถ้วย และภาชนะต่างๆ
  • บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง : กล่องบรรจุภัณฑ์ ขวด และหลอด
  • บรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค : กล่องกระดาษ ถุงกระดาษ และวัสดุกันกระแทก
  • นวัตกรรม : การพัฒนาวัสดุจากสาหร่ายทะเล (Seaweed) และเห็ด (Mushroom) เพื่อใช้ทำฟิล์มและโฟมที่ย่อยสลายได้

วัสดุอื่นๆ ที่น่าสนใจ

นอกเหนือจากวัสดุที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีวัสดุบรรจุภัณฑ์อื่นๆ ที่น่าสนใจและกำลังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมในอนาคต

1. วัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Compostable Materials) : ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

วัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพสามารถย่อยสลายกลายเป็นสารอาหารในสภาวะที่เหมาะสม เช่น ในกองปุ๋ยหมัก มีมาตรฐานและการรับรองต่างๆ เพื่อยืนยันคุณสมบัติ

  • ความหมายและความแตกต่างจากวัสดุชีวภาพ (Bioplastics) : แม้ว่าวัสดุชีวภาพบางชนิดจะย่อยสลายได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด วัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพต้องผ่านการทดสอบและได้รับการรับรองว่าสามารถย่อยสลายได้ในสภาวะที่กำหนด เช่น การย่อยสลายในโรงงานอุตสาหกรรม (Industrial composting) หรือการย่อยสลายในครัวเรือน (Home composting)
  • มาตรฐานและการรับรอง : มีมาตรฐานและการรับรองต่างๆ เช่น
    • BPI (Biodegradable Products Institute) : มาตรฐานของสหรัฐอเมริกาที่รับรองผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ในโรงงานอุตสาหกรรม
    • TÜV AUSTRIA’s OK compost : มาตรฐานของยุโรปที่ครอบคลุมการย่อยสลายในโรงงานอุตสาหกรรมและในครัวเรือน
    • DIN CERTCO : มาตรฐานของเยอรมนีที่รับรองผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้
  • ข้อดี : ลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยได้
  • ข้อเสีย : ต้องมีสภาวะที่เหมาะสมในการย่อยสลาย และอาจมีราคาสูงกว่าวัสดุทั่วไป

2. วัสดุที่กินได้ (Edible Packaging) : นวัตกรรมที่น่าสนใจ แต่ยังมีความท้าทาย

นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรับประทานได้พร้อมกับอาหาร กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก

  • ตัวอย่างวัสดุ : ฟิล์มจากสาหร่ายทะเล (เช่น ผลิตภัณฑ์ของ Notpla) โปรตีนจากนม หรือแป้ง
  • ข้อดี : ลดปริมาณขยะอย่างสิ้นเชิง สร้างความแปลกใหม่ และอาจเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ
  • ข้อเสีย : มีข้อจำกัดในเรื่องความแข็งแรง ความทนทาน การเก็บรักษา และความหลากหลายของสินค้าที่สามารถใช้ได้ รวมถึงความกังวลด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย
  • ความท้าทายและการพัฒนาในอนาคต : การพัฒนาวัสดุที่แข็งแรงขึ้น เก็บรักษาได้นานขึ้น และสามารถใช้กับสินค้าได้หลากหลายมากขึ้น รวมถึงการศึกษาด้านความปลอดภัยและผลกระทบต่อสุขภาพอย่างละเอียด

3. วัสดุนาโน (Nanomaterials) : เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อคุณสมบัติที่เหนือกว่า

การใช้เทคโนโลยีนาโนในการปรับปรุงคุณสมบัติของบรรจุภัณฑ์

  • การใช้งาน : อนุภาคนาโนถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มคุณสมบัติ เช่น
    • ความแข็งแรงและความทนทาน : เพิ่มความแข็งแรงและความทนทานต่อการฉีกขาดและการกระแทก
    • การป้องกันการซึมผ่าน : ป้องกันการซึมผ่านของก๊าซ ความชื้น และไขมัน ช่วยยืดอายุการเก็บรักษา
    • คุณสมบัติ Antibacterial : ป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
  • ความปลอดภัยและข้อควรระวัง : การใช้วัสดุนาโนในบรรจุภัณฑ์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม มีการศึกษาและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้วัสดุนาโนในบรรจุภัณฑ์อาหาร
  • ตัวอย่างการใช้งาน : บรรจุภัณฑ์อาหารที่ต้องการการป้องกันเป็นพิเศษ เช่น บรรจุภัณฑ์เนื้อสัตว์หรืออาหารทะเล

การเลือกใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสินค้า

การเลือกใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจ เนื่องจากมีผลต่อการปกป้องสินค้า การขนส่ง การจัดเก็บ การตลาด และภาพลักษณ์ของแบรนด์ การพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบจะช่วยให้ธุรกิจเลือกใช้วัสดุที่ตอบโจทย์ความต้องการและคุ้มค่าที่สุด

1. ปัจจัยในการพิจารณาเลือกใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์

  • ประเภทสินค้า : ลักษณะของสินค้า เช่น ของเหลว ของแข็ง อาหารสด อาหารแห้ง สินค้าแตกหักง่าย หรือสินค้าที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิ มีผลต่อการเลือกใช้วัสดุ
  • การขนส่ง : ระยะทางและวิธีการขนส่ง เช่น ทางบก ทางเรือ หรือทางอากาศ มีผลต่อความแข็งแรงและความทนทานของบรรจุภัณฑ์
  • การจัดเก็บ : สภาพแวดล้อมในการจัดเก็บ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และแสงแดด มีผลต่อการเสื่อมสภาพของสินค้าและบรรจุภัณฑ์
  • กลุ่มเป้าหมาย : ความต้องการ พฤติกรรม และความคาดหวังของผู้บริโภค เช่น ความสะดวก ความยั่งยืน หรือความสวยงาม มีผลต่อการออกแบบและเลือกใช้วัสดุ
  • งบประมาณ : ต้นทุนของวัสดุ การผลิต และการขนส่ง มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้วัสดุ

2. ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของวัสดุบรรจุภัณฑ์

เพื่อให้เห็นภาพรวมและเปรียบเทียบคุณสมบัติของวัสดุต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ได้จัดทำตารางเปรียบเทียบดังนี้

คุณสมบัติกระดาษ/กระดาษลูกฟูกพลาสติก (PET, HDPE, PP)แก้วโลหะ (อลูมิเนียม, เหล็ก)วัสดุชีวภาพ (PLA, PHA)วัสดุจากธรรมชาติ (เส้นใยอ้อย)
ความแข็งแรงปานกลางสูงสูงสูงปานกลาง-สูงปานกลาง
การป้องกันการซึมผ่านต่ำ (ยกเว้นเคลือบ)ดีดีมากดีมากปานกลางปานกลาง (ขึ้นอยู่กับกระบวนการ)
ราคาปานกลางปานกลาง-สูงสูงสูงสูงปานกลาง
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรีไซเคิลได้รีไซเคิลได้ (บางประเภท)รีไซเคิลได้รีไซเคิลได้ย่อยสลายได้ย่อยสลายได้
น้ำหนักเบาเบาหนักเบาเบาเบา
การใช้งานกล่อง ห่อหุ้มขวด ถุง ฟิล์มขวดกระป๋อง ถาดบรรจุภัณฑ์อาหาร ถ้วยถาดขึ้นรูป บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

(ตารางนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น คุณสมบัติของวัสดุอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตและส่วนผสม)

3. ตัวอย่างการเลือกใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ตามประเภทสินค้า

  • อาหารสด : ควรใช้วัสดุที่สามารถรักษาความสด ป้องกันการปนเปื้อน และควบคุมอุณหภูมิได้ดี เช่น พลาสติก PET สำหรับบรรจุเครื่องดื่ม หรือถาดโฟมสำหรับเนื้อสัตว์ (ปัจจุบันมีการใช้น้อยลงเนื่องจากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม) ปัจจุบันนิยมใช้พลาสติกที่สามารถซีลสูญญากาศ หรือวัสดุชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ เช่น ถาดจากเส้นใยอ้อย
  • อาหารแห้ง : สามารถใช้วัสดุที่หลากหลาย เช่น กระดาษลูกฟูกสำหรับกล่อง หรือถุงพลาสติกสำหรับขนม ควรพิจารณาคุณสมบัติในการป้องกันความชื้นและแมลง
  • เครื่องสำอาง : ควรเน้นความสวยงาม ดึงดูดใจ และความปลอดภัยต่อผู้บริโภค เช่น ขวดแก้วสำหรับน้ำหอม หรือหลอดพลาสติกสำหรับครีม ควรเลือกวัสดุที่ไม่ทำปฏิกิริยากับส่วนผสมของเครื่องสำอาง
  • สินค้าอุปโภคบริโภค : ควรพิจารณาความแข็งแรง ทนทาน และความสะดวกในการใช้งาน เช่น กล่องกระดาษลูกฟูกสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือถุงพลาสติกสำหรับผงซักฟอก
  • สินค้าเดลิเวอรี่ : ควรพิจารณาความแข็งแรงในการขนส่ง ป้องกันการรั่วซึม และรักษาอุณหภูมิของอาหาร เช่น กล่องกระดาษลูกฟูกที่เคลือบกันน้ำ หรือบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุฉนวนกันความร้อน

4. แหล่งข้อมูลและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง

  • มาตรฐาน ISO 22000 : ระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety Management System) ซึ่งเกี่ยวข้องกับบรรจุภัณฑ์อาหาร
  • มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) : หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต ซึ่งครอบคลุมถึงการผลิตบรรจุภัณฑ์
  • มาตรฐานการรีไซเคิล : เช่น มาตรฐานการรีไซเคิลพลาสติก

แนวโน้มและอนาคตของวัสดุบรรจุภัณฑ์

อนาคตของวัสดุบรรจุภัณฑ์มุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืน นวัตกรรม และการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป แนวโน้มสำคัญที่น่าจับตามอง ได้แก่

1. การเติบโตของวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ความต้องการวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

  • การใช้วัสดุชีวภาพ (Bioplastics) ที่เพิ่มขึ้น : การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตพลาสติกชีวภาพจะทำให้ต้นทุนลดลงและคุณสมบัติเทียบเท่าหรือดีกว่าพลาสติกทั่วไป ทำให้มีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้น
  • การผลักดันการรีไซเคิลและการนำกลับมาใช้ใหม่ : ระบบการจัดการขยะและการรีไซเคิลจะได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ง่ายต่อการรีไซเคิล (Design for Recycling)
  • การใช้วัสดุจากธรรมชาติและวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร : การนำวัสดุจากธรรมชาติ เช่น เส้นใยพืช ฟางข้าว และวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร มาใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ จะเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากเป็นทรัพยากรหมุนเวียนและย่อยสลายได้ทางชีวภาพ
  • การลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-Use Plastics) : กฎหมายและข้อบังคับต่างๆ รวมถึงความตระหนักของผู้บริโภค จะผลักดันให้มีการลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และหันมาใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

2. การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ

เทคโนโลยีและนวัตกรรมมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวัสดุบรรจุภัณฑ์

  • บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart Packaging) : การใช้เทคโนโลยี IoT (Internet of Things) , RFID, NFC และเซ็นเซอร์ต่างๆ ในบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน เช่น การตรวจสอบคุณภาพและความสดของสินค้า การติดตามสินค้า การป้องกันการปลอมแปลง และการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค
  • วัสดุนาโน (Nanomaterials) : การใช้วัสดุนาโนในการปรับปรุงคุณสมบัติของบรรจุภัณฑ์ เช่น ความแข็งแรง การป้องกันการซึมผ่าน และการต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • การพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) : การใช้การพิมพ์ 3 มิติในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีรูปทรงซับซ้อนและเฉพาะตัว รวมถึงการผลิตบรรจุภัณฑ์ตามความต้องการ (Customized Packaging)
  • บรรจุภัณฑ์ที่กินได้ (Edible Packaging) : การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรับประทานได้ เพื่อลดปริมาณขยะและสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภค

เทคโนโลยีการพิมพ์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิด เทคโนโลยีการพิมพ์ ใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต หากท่านสนใจติดตามเทคโนโลยีการพิมพ์ล่าสุด สามารถคลิกที่นี่

3. ผลกระทบของกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ

กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรม

  • กฎหมายเกี่ยวกับการจัดการขยะ : กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลดปริมาณขยะ การรีไซเคิล และการจัดการขยะอย่างถูกต้อง จะมีความเข้มงวดมากขึ้น
  • กฎหมายเกี่ยวกับการใช้พลาสติก : กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลดการใช้พลาสติก โดยเฉพาะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว จะมีผลบังคับใช้ในหลายประเทศ
  • มาตรฐานและฉลากสิ่งแวดล้อม : มาตรฐานและฉลากที่รับรองความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของบรรจุภัณฑ์ จะมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคและส่งเสริมการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน
  • Extended Producer Responsibility (EPR) : หลักการที่กำหนดให้ผู้ผลิตมีส่วนรับผิดชอบต่อการจัดการบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภค จะถูกนำมาใช้ในวงกว้างมากขึ้น

4. บทบาทของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวัสดุบรรจุภัณฑ์

  • การออกแบบเพื่อการหมุนเวียน (Design for Circularity) : การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและลดปริมาณขยะ
  • การใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุหมุนเวียน : การใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุหมุนเวียนในการผลิตบรรจุภัณฑ์ เพื่อลดการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ
  • ระบบการจัดการวัสดุ : การพัฒนาระบบการจัดการวัสดุที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้วัสดุสามารถหมุนเวียนกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง

สรุป

การเลือกใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมไม่ใช่เพียงแค่การเลือกวัสดุห่อหุ้มสินค้า แต่เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มีผลกระทบต่อธุรกิจในหลายด้าน การพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบจะช่วยให้ธุรกิจได้รับบรรจุภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ ความพึงพอใจของลูกค้า และความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว