เรียนรู้เกี่ยวกับ 3D Printer ระบบ FDM (Fused Deposit Modeling) ที่ให้ความเร็วสูงในการพิมพ์ ใช้งานง่าย และเหมาะสำหรับผู้ใช้งานทุกระดับ พร้อมข้อมูลวัสดุและประโยชน์ที่ควรรู้
การพิมพ์ 3 มิติ หรือ 3D Printer นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เนื่องจากในปี 2024 นี้ เทคโนโลยีได้ก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะในส่วนของระบบเส้นพลาสติก FDM (Fused Deposit Modeling) ซึ่งเป็นระบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะมีราคาที่ถูก ใช้งานง่าย และปลอดภัย ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีนี้แบบเจาะลึก และดูว่ามีประโยชน์อย่างไรต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและการใช้งานส่วนบุคคล
Key Takeaways
- FDM (Fused Deposit Modeling) เป็นระบบการพิมพ์ 3 มิติที่ได้รับความนิยมที่สุด เพราะใช้งานง่าย ปลอดภัย และราคาไม่แพง
- วัสดุที่ใช้ในการพิมพ์ มีหลากหลายชนิด โดย PLA , ABS และ PETG เป็นที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากคุณสมบัติที่เหมาะกับงานพิมพ์ 3 มิติ
- ประเภทของเครื่องพิมพ์ FDM มีทั้งเครื่องโครงเปิด (DIY) และเครื่องโครงปิด โดยแต่ละประเภทมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่ต่างกัน
- การใช้งาน 3D Printer ระบบ FDM ครอบคลุมทั้งงานอุตสาหกรรม งานออกแบบสินค้า งานอดิเรก และการศึกษา ทำให้เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะกับทุกกลุ่มผู้ใช้งาน
- ข้อดีของระบบ FDM คือราคาไม่แพง การดูแลรักษาง่าย และสามารถใช้งานได้ทันทีหลังการพิมพ์ไม่ต้องมา Post Process
FDM คืออะไร?
3D Printer คือเครื่องมือที่สามารถสร้างชิ้นงานสามมิติได้โดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า Additive Manufacturing หรือการสร้างวัสดุโดยการเพิ่มเติมทีละชั้น ซึ่งระบบ FDM นั้นเป็นหนึ่งในกระบวนการที่นิยมที่สุด เนื่องจากมีความปลอดภัยและง่ายต่อการใช้งาน
FDM ย่อมาจาก Fused Deposit Modeling หรือที่บางแห่งเรียกว่า FFF (Fused Filament Fabrication) กระบวนการทำงานของ FDM นั้นคือการหลอมพลาสติกให้เป็นของเหลว แล้วฉีดพลาสติกนั้นออกมาเพื่อสร้างชิ้นงานเป็นชั้นๆ โดยเริ่มจากการทำความร้อนเพื่อหลอมพลาสติกในฟิลาเมนต์ (Filament) ซึ่งจะไหลออกมาจากหัวฉีดของเครื่องและถูกวาดออกมาเป็นชั้นๆ จนกระทั่งกลายเป็นชิ้นงานสามมิติ
ระบบ FDM กับ 3D Printer อื่นๆ
นอกจากระบบ FDM ยังมีระบบการพิมพ์ 3 มิติอื่นๆ ที่น่าสนใจเช่นกัน
- SLA (Stereolithography) : การพิมพ์โดยใช้แสงเลเซอร์ทำให้น้ำเรซิ่นแข็งตัว
- SLS (Selective Laser Sintering) : การพิมพ์ด้วยการเชื่อมผงพลาสติกหรือโลหะด้วยเลเซอร์
- Multijet : ระบบที่พัฒนาเพิ่มเติมจากการพิมพ์แบบ Inkjet
อย่างไรก็ตาม ระบบ FDM ยังคงเป็นที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากราคาไม่แพงและใช้งานง่ายกว่าเมื่อเทียบกับระบบอื่นๆ
ข้อดีและข้อด้อยของระบบ FDM
ข้อดี
- ระบบ FDM เป็นระบบที่ถูกที่สุด ทำให้เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทุกระดับ
- วัสดุฟิลาเมนต์มีหลากหลายชนิด และราคาไม่แพง
- มีกลุ่มผู้ใช้งานขนาดใหญ่ที่แชร์เทคนิคและเคล็ดลับการใช้งานอยู่ตลอด
- เป็นระบบที่ปลอดภัย แถมยังสามารถใช้งานได้สำหรับเด็ก
- เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องทำ Post Process เพิ่มเติม
ข้อด้อย
- ความละเอียดของชิ้นงานต่ำกว่าระบบการพิมพ์อื่นๆ เช่น SLA
- ไม่เหมาะสำหรับการพิมพ์ชิ้นงานขนาดเล็กที่ต้องการความละเอียดสูง
ประเภทของเครื่องพิมพ์ FDM
3D Printer ระบบ FDM นั้นมีหลายประเภท ซึ่งสามารถแบ่งตามโครงสร้างและการขับเคลื่อนหัวฉีดได้ดังนี้
- แบ่งตามการเคลื่อนที่ของหัวฉีด
- Cartesian : โครงสร้างที่เคลื่อนที่ตามแกน X, Y และ Z
- Delta : โครงสร้างที่ใช้สามแกนในการควบคุมการเคลื่อนที่ของหัวฉีด
- Robotic : ระบบที่ใช้การควบคุมแบบแขนกล
- แบ่งตามการขับของเส้นพลาสติก
- Direct Drive : การขับเคลื่อนเส้นพลาสติกโดยตรงจากมอเตอร์ที่อยู่ใกล้หัวฉีด
- Bowden: ระบบที่ใช้ท่อลำเลียงเส้นพลาสติกก่อนถึงหัวฉีด
ในปัจจุบัน การแบ่งประเภทแบบเดิมเริ่มไม่นิยมแล้ว เราจึงสามารถแบ่งเครื่องพิมพ์ FDM เป็นสองประเภทหลัก คือ เครื่องแบบ DIY (โครงเปิด) และเครื่องประกอบเสร็จ (โครงปิด)
เครื่องพิมพ์แบบโครงเปิดและโครงปิด
- เครื่องพิมพ์โครงเปิด (DIY) : เป็นเครื่องพิมพ์ที่ราคาถูกที่สุด เนื่องจากผู้ใช้งานต้องประกอบเครื่องเอง เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัดและต้องการเรียนรู้วิธีการประกอบเครื่อง
- เครื่องพิมพ์โครงปิด : มีราคาสูงกว่า แต่ได้รับการประกอบมาเรียบร้อยแล้ว พร้อมใช้งานได้ทันที เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการใช้งาน และความทนทานในระยะยาว
วัสดุฟิลาเมนต์ที่ใช้ในการพิมพ์ FDM
วัสดุที่ใช้ในระบบ FDM เรียกว่า ฟิลาเมนต์ (Filament) ซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.75 มิลลิเมตร วัสดุที่นิยมใช้มากที่สุดมีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่
- PLA (Polylactic Acid) : วัสดุชีวภาพที่ทำจากกากการเกษตร มีความปลอดภัยสูงและพิมพ์ได้ง่าย
- ABS (Acrylonitrile Butadiene Styrene) : วัสดุที่แข็งแรงและทนทาน แต่มีข้อเสียคือเรื่องกลิ่นและความเป็นพิษเมื่อถูกหลอม
- PETG (Polyethylene Terephthalate Glycol-modified) : วัสดุที่มีความโปร่งใส ทนทาน และยืดหยุ่น เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรงและความทนทาน
ประโยชน์ของการใช้ 3D Printer ระบบ FDM
การใช้งาน 3D Printer ระบบ FDM มีหลากหลายประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็น
- งานอดิเรกและการสร้างรายได้ : การใช้ 3D Printer เพื่อสร้างโมเดล หรืองาน DIY
- การสร้างต้นแบบ : ในอุตสาหกรรมการออกแบบสินค้า การใช้ 3D Printer ช่วยให้สามารถสร้าง Prototype ได้อย่างรวดเร็วและประหยัดต้นทุน
- การศึกษาแบบ STEMLAB : หลายโรงเรียนเริ่มมีการใช้ 3D Printer ในการสอนนักเรียนในการออกแบบและสร้างชิ้นงาน เพื่อให้เข้าใจวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมมากขึ้น
สรุป
3D Printer ระบบ FDM จึงเป็นเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยคุณสมบัติที่เข้าถึงได้ง่าย ปลอดภัย และประหยัด ทำให้เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นงานอุตสาหกรรม งานออกแบบสินค้า หรืองานอดิเรก นอกจากนี้ ยังมีวัสดุที่หลากหลายให้เลือกใช้ ทำให้การพิมพ์ 3 มิติด้วย FDM เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและน่าจับตามองในอนาคต